Header

รู้หรือไม่ ? คนที่เคยเป็น อีสุกอีใสมาก่อน มีโอกาสเสี่ยงเป็น โรคงูสวัด ได้ทุกคน

โรคงูสวัดคืออะไร ?

โรคงูสวัด เกิดจากเชื้อไวรัส Varicella zoster (VZV) ที่ทำให้เกิดผื่นพุพอง เป็นตุ่มน้ำมีอาการคัน สามารถกระจายไปยังผิวหนังทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใส เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว เชื้อนี้จะหลบอยู่ในร่างกายเรา จนเมื่อร่างกายอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันลดลง โรคงูสวัดจะเริ่มแสดงอาการออกมา


อาการของโรคงูสวัดเป็นอย่างไร ?

 อาการของโรคงูสวัดสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ ดังนี้

  • ระยะที่ 1 เป็นช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำลง เชื้อไวรัสจึงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ ในเส้นประสาท ส่งผลให้ผู้ป่วยเริ่มมีอาการปวดแสบปวดร้อน โดยหาสาเหตุไม่ได้
  • ระยะที่ 2 เมื่อมีอาการแสบร้อนโดยหาสาเหตุไม่ได้ประมาณ 2-3 วัน จะเริ่มปรากฏผื่นแดงขึ้น และกลายเป็นตุ่มน้ำใสเรียงตัวกันเป็นแนวยาวตามเส้นประสาทของร่างกาย เช่น ตามความยาวของแขน รอบเอว รอบหลัง ใบหน้า ต้นขา เป็นต้น ต่อมาตุ่มน้ำใสนั้นจะแตกออกเป็นแผล จากนั้นจะตกสะเก็ด แล้วจะหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ และอาจมีไข้ร่วมด้วย
  • ระยะที่ 3 แม้แผลจะหายดีแล้ว แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังคงมีอาการปวดแสบปวดร้อนอยู่ตามรอยแนวของแผลที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจเกิดอาการปวดประสาทหลังเป็นโรคงูสวัด ซึ่งจะปวดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือนหลังจากที่ตุ่มใสเริ่มเกิดขึ้น


งูสวัด อีสุกอีใส ต่างกันอย่างไร ?

แม้โรคงูสวัดกับอีสุกอีใสจะเกิดจากเชื้อไวรัสตัวเดียวกัน แต่อาการที่แสดงออกมานั้นจะแตกต่างกัน คือ โรคงูสวัดจะเกิดตุ่มนูนที่เรียงเป็นกลุ่ม หรือเป็นแถวยาวตามแนวของเส้นประสาท และจะไม่กระจายทั่วตัวเหมือนตุ่มของอีสุกอีใส


ใครที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคงูสวัด ?
  • เคยเป็นโรคไข้สุกใสมาก่อน
  • อายุมาก โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป
  • เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง
  • มีความเครียดทางอารมณ์
  • คนที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง ผู้ป่วยโรคเอดส์ เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของงูสวัดมีอะไรบ้าง ?
  • งูสวัดในดวงตา อาจทำให้เป็นแผลที่กระจกตา ตาอักเสบ หรือถึงขั้นตาบอด
  • งูสวัดขึ้นหน้าหรือใบหู ทำให้ใบหน้าเกิดอัมพาตครึ่งซีก คือ มีอาการหลับตาไม่สนิท ไม่สามารถเลิกคิ้วได้ และ มุมปากตก
  • ปวดตามแนวเส้นประสาท นานต่อเนื่องเป็นเดือนหรือเป็นปี
  • ติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนที่ผิวหนัง
  • เชื้อไวรัสเข้าไขสันหลัง ทำให้กล้ามเนื้อ อ่อนแรง เป็นอัมพาต
  • เชื้อไวรัสขึ้นสมอง และเยื้อหุ้มสมอง ทำให้สมองบวม ชัก และมีโอกาสเสียชีวิต

ถ้างูสวัดพันรอบตัว จะทำให้เสียชีวิตจริงหรือไม่ ?

โดยปกติแล้วงูสวัดจะเกิดขึ้นเพียงด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย ยกเว้นกลุ่มคนไข้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ที่อาจเกิดได้มากกว่าหนึ่งจุดของแนวเส้นประสาท มีอาการรุนแรง และเป็นอยู่นานกว่าคนไข้งูสวัดทั่วไป  และเสี่ยงต่อชีวิตโดยเฉพาะมีการติดเชื้อซ้ำซ้อนไปจนถึงขั้นเสียชีวิตได้


รักษาโรคงูสวัดอย่างไร ?

แพทย์จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาอาการปวด หรือลดไข้ ถ้าตุ่มกลายเป็นหนองเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนก็จะให้ยาปฏิชีวนะ

  • สำหรับผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรืองูสวัดขึ้นที่บริเวณหน้า หรือมีอาการปวดรุนแรงตั้งแต่แรกที่มีผื่นขึ้น แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสภายใน 2 – 3 วัน หลังเกิดอาการ เพื่อลดความรุนแรง และช่วยให้โรคหายเร็วขึ้น รวมทั้งช่วยลดอาการปวดแสบ ปวดร้อนในภายหลังได้
  • สำหรับผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ หรือเป็นงูสวัดชนิดแพร่กระจายทั้งตัว แพทย์จะให้ยาต้านไวรัสชนิดฉีดเข้าหลอดเลือดดำ รวมถึงต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล
  • สำหรับผู้ป่วยที่เป็นงูสวัดขึ้นที่ตา ต้องรักษาร่วมกับจักษุแพทย์ ซึ่งจะได้รับยาต้านไวรัสชนิดทาน และหยอดตาเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนทางตา

ป้องกันโรคงูสวัดได้อย่างไร ?

ในผู้สูงอายุ โรคจะแพร่กระจายและมีความรุนแรงมากกว่าปกติ ดังนั้น วิธีป้องกันควรเริ่มตั้งแต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ในขณะเดียวกันผู้สูงอายุที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคงูสวัด โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน ซึ่งจะสามารถป้องกันและลดภาวะการเกิดโรคงูสวัด และป้องกันภาวะปวดเรื้อรัง หรือลดการเจ็บปวดของโรคเมื่อผื่นโรคงูสวัดหายไป

โรคงูสวัดเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคอีสุกอีใสพบว่ามีความเสี่ยงที่สูงกว่าในการเกิดโรคงูสวัดถึงแม้ว่าการติดเชื้อที่ผิวหนังจะหายดีแล้ว ไวรัสสามารถเกิดขึ้นได้อีกและทำให้เกิดโรคงูสวัด ซึ่งวัคซีนป้องกันงูสวัสจะช่วยลดโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำและลดความรุนแรงของโรคได้



ศูนย์การรักษาที่เกี่ยวข้อง

แผนกอายุรกรรม โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ

แผนกอายุรกรรม

สถานที่

อาคาร A ชั้น G

เวลาทำการ

จันทร์ - อาทิตย์ 08.00 -20.00

เบอร์ติดต่อ

02 080 5999 ต่อ 4011

แพทย์แนะนำ

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

พญ.กิติยา จันทรวิถี

พญ.กิติยา จันทรวิถี

ศูนย์ศัลยกรรมทั่วไป

อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด

นพ. ลิขิต กำธรวิจิตรกุล

ศัลยเเพทย์ออร์ปิดิกส์

บทความที่เกี่ยวข้อง

กักตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างไร หากไม่มีห้องพักแยก

แม้ว่าในบางกรณี ผู้ป่วยจะมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่สามารถทำการกักตัวแยกที่บ้านได้ แต่หากมีผู้พักอาศัยร่วมในที่พัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่พักที่ไม่มีห้องพักแยก แนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการส่งต่อ-รับเชื้อ ระหว่างผู้ร่วมพักอาศัย

กักตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างไร หากไม่มีห้องพักแยก

แม้ว่าในบางกรณี ผู้ป่วยจะมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่สามารถทำการกักตัวแยกที่บ้านได้ แต่หากมีผู้พักอาศัยร่วมในที่พัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่พักที่ไม่มีห้องพักแยก แนวทางปฏิบัติเพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการส่งต่อ-รับเชื้อ ระหว่างผู้ร่วมพักอาศัย

สารพัดโรคร้าย ทำลายตับ

ตับเป็นอวัยวะภายในร่างกายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา โดยมีซี่โครงเป็นเกราะกำบัง ทำหน้าที่ควบคุมสภาพร่างกายให้เป็นปกติ

สารพัดโรคร้าย ทำลายตับ

ตับเป็นอวัยวะภายในร่างกายที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในร่างกาย อยู่ใต้ชายโครงด้านขวา โดยมีซี่โครงเป็นเกราะกำบัง ทำหน้าที่ควบคุมสภาพร่างกายให้เป็นปกติ

อาหารฤทธิ์เย็น ดับพิษร้อน ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์

ความร้อนที่สะสมภายในร่างกายอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วย ไม่สบายเนื้อ-สบายตัว เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนเพลีย หน้ามืด เจ็บในช่องปากและลำคอ พบแผลร้อนในช่องปาก เกิดอาการท้องผูก ขับถ่ายลำบาก ทำให้ผิวพรรณแห้งกร้านไม่สดใส เกิดสิวอักเสบขึ้นตามใบหน้า หรือเกิดฝีอักเสบตามลำตัวได้

อาหารฤทธิ์เย็น ดับพิษร้อน ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทยประยุกต์

ความร้อนที่สะสมภายในร่างกายอาจทำให้เกิดความเจ็บป่วย ไม่สบายเนื้อ-สบายตัว เช่น ปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนเพลีย หน้ามืด เจ็บในช่องปากและลำคอ พบแผลร้อนในช่องปาก เกิดอาการท้องผูก ขับถ่ายลำบาก ทำให้ผิวพรรณแห้งกร้านไม่สดใส เกิดสิวอักเสบขึ้นตามใบหน้า หรือเกิดฝีอักเสบตามลำตัวได้