ค้นหาความเสี่ยง มะเร็งปากมดลูก แบบไหนดี

ผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกมากอันดับที่ 3 (11.1%) รองจากมะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก แต่ละปีจะมีผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกประมาณ 6,000 – 8,000 คน และเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 8-10 คน(ข้อมูลจาก HOSPITAL-BASED CANCER REGISTRY 2020 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ) ส่วนใหญ่มักพบในช่วงอายุระหว่าง 35 – 50 ปี
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งชนิดเดียวทางนรีเวช ที่สามารถตรวจคัดกรองพบจะป้องกันและรักษาให้หายได้ โดยตรวจภายในเป็นประจำ และปัจจุบันยังสามารถตรวจคัดกรองมะเร็งเชิงลึกแบบ HPV DNA เพื่อหาเชื้อต้นเหตุก่อโรคของมะเร็งปากมดลูก อีกทั้งยังมี วัคซีน HPV ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อก่อโรคมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย
ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก ตั้งแต่เรามีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และเกือบ 100% ของมะเร็งปากมดลูกเกิดจากการติดเชื้อ HPV เพราะเป็นเชื้อที่ติดง่าย นอกจากเพศสัมพันธ์แล้ว ยังสามารถติดต่อทางการสัมผัสได้ด้วย (แต่จะเป็นลักษณะเหมือนพาหะที่นำพาเชื้อไปสู่ช่องคลอดได้) แต่พอติดเชื้อแล้วกลับไม่มีอาการ ไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่มีบาดแผลอะไรเกิดขึ้น แต่เกิดความผิดปกติระดับเซลล์ ซึ่งใช้เวลานานหลายปี ก่อนกลายเป็นมะเร็งปากมดลูก
เนื่องจากมะเร็งปากมดลูก ในปัจจุบันมีวิธีการป้องกัน และสามารถตรวจคัดกรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกนโยบายและเป้าหมายเพื่อกำจัดโรค ลดปริมาณผู้ป่วยรายใหม่ ดังนี้
1) 90% ของประชากรเด็กหญิงอายุ 15 ปี ควรได้รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก
2) 70%ของประชากรหญิง อายุ 30 ปี ได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วยวิธีการตรวจที่มีคุณภาพและ
3) 90%ของหญิงที่ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นรอยโรคมะเร็งปากมดลูก และระยะก่อนมะเร็ง ได้เข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสม
สัญญาณเตือน อาการมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก ***มักไม่แสดงอาการในระยะแรก *** หรือ อาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น
- มีตกขาวมากกว่าปกติ หรือตกขาวมีเลือดปน
- เลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ เลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ เลือดออกหลังจากหมดประจำเดือน
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
หากมะเร็งเกิดการลุกลามแล้ว อาจมีอาการต่างๆชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
- ปวดท้องน้อย ปวดหน่วงบริเวณหัวหน่าว
- ปัสสาวะ/อุจจาระปนเลือด
- ปัสสาวะไม่ค่อยออก ปวดบวม
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- ปวดหลัง ขาบวม ไตวาย (กรณีที่มะเร็งมีระยะลุกลามมาก)
ค้นหาความเสี่ยง ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก แบบไหนดี?
การตรวจภายใน ไม่สามารถพบก้อนมะเร็งปากมดลูกชัดเจน ต้องตรวจยืนยันโดยการตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจแพปสเมียร์ (Pep Smear) เป็นการตรวจทางเซลล์วิทยา สามารถตรวจพบเซลล์มะเร็ง ซึ่งต้องทำการสืบค้นต่อ โดยการตรวจภายใน และตรวจด้วยกล้องขยาย เพื่อ ตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา
- การตรวจด้วยวิธี (Thin Prep) เป็นการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกโดยเก็บตัวอย่างเซลล์ด้วยของเหลว สามารถเก็บตัวอย่างเซลล์ได้มากกว่า และนำไปตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ต่อได้โดยไม่ต้องเก็บตัวอย่างซ้ำ
- การตรวจหาเชื้อไวรัส HPV ด้วยวิธีการตรวจ DNA แบ่งเป็นการตรวจร่วมกับการตรวจทางเซลล์วิทยา และการตรวจหาเชื้อไวรัส HPV เพียงอย่างเดียว วิธีการตรวจนี้สามารถระบุสายพันธุ์ของเชื้อไวรัสได้ และสามารถค้นพบรอยโรคได้เร็ว
- การตรวจด้วยกล้องขยาย (Colposcope) ตรวจร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา โดยแพทย์มะเร็งวิทยานรีเวช
- การตรวจวิธีอื่น ๆ ที่อาจช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก โดยแพทย์มะเร็งวิทยานรีเวช
– การขูดภายในปากมดลูก
– การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า
– การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด
มะเร็งปากมดลูก มีกี่ระยะ
ระยะของโรคมะเร็งปากมดลูก แบ่งออกเป็น ระยะก่อนมะเร็ง มะเร็งระยะเริ่มต้น และมะเร็งระยะลุกลาม
ระยะก่อนมะเร็ง ระยะนี้เซลล์มะเร็งยังอยู่ภายใต้ชั้นเยื่อบุผิวปากมดลูก ไม่ลุกลามเข้าไปในเนื้อปากมดลูก ผู้ป่วยจะไม่มีอาการผิดปกติเลย ตรวจพบได้ด้วยการตรวจคัดกรองทางเซลล์วิทยา หรือ ตรวจแพปสเมียร์ (Pap Smear)
มะเร็งปากมดลูก แบ่งออกเป็น 4 ระยะย่อย คือ
- ระยะที่ 1 มะเร็งระยะเริ่มต้น รอยโรคอยู่ภายในปากมดลูกเท่านั้น
- ระยะที่ 2 มะเร็งลุกลามไปที่เนื้อเยื่อข้างปากมดลูก และ (หรือ) ผนังช่องคลอดส่วนบน
- ระยะที่ 3 มะเร็งลุกลามไปที่ด้านข้างของเชิงกราน และ (หรือ) ผนังช่องคลอดส่วนล่าง หรือกดท่อไตจนเกิดภาวะไตบวมน้ำ
- ระยะที่ 4 มะเร็งลุกลามไปที่กระเพาะปัสสาวะ ไส้ตรง หรืออวัยวะอื่น ๆ เช่น ปอด กระดูก และต่อมน้ำเหลืองนอกเชิงกราน เป็นต้น
มะเร็งปากมดลูก รักษาอย่างไร
ระยะก่อนมะเร็ง รักษาได้หลายวิธี ได้แก่
การตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด โดยการตรวจภายใน ตรวจแพปสเมียร์ (Pep Smear) และการตรวจด้วยกล้องขยาย (Colposcope) ทุก 4 – 6 เดือน รอยโรคบางชนิดสามารถหายไปได้เองใน 1 – 2 ปี
การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น
การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยห่วงลวดไฟฟ้า หรือมีด
ระยะลุกลาม การเลือกวิธีในการรักษาขึ้นอยู่กับโรคประจำตัวของผู้ป่วย และระยะของมะเร็ง
- ระยะที่ 1 และระยะที่ 2 บางราย รักษาโดยการตัดมดลูกออกแบบกว้าง ร่วมกับการเลาะต่อมน้ำเหลืองเชิงกรานออก
- ระยะที่ 2 ถึงระยะที่ 4 รักษาโดยการฉายรังสีร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัด
การป้องกัน มะเร็งปากมดลูก
หนึ่งในวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือ การฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อเอชพีวี (HPV) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งปากมดลูก และตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก สามารถตรวจคัดกรองได้โดย แพปสเมียร์ (Pap Smear) และการตรวจหาเชื้อ HPV
วัคซีนป้องกันเชื้อไวรัส HPV สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ในการฉีดวัคซีนจะต้องฉีดทั้งหมด 3 เข็ม โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อ และจะต้องฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 – 2 เดือน และเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน
วัคซีนนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อฉีดให้กับเด็กผู้หญิงถึงวัยเจริญพันธุ์ (9 – 26ปี) หรือสตรีที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ และหากเป็นสตรีที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว วัคซีนจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพกับผู้ที่ยังไม่มีการติดเชื้อ HPV หรือไม่มีเซลล์ผิดปกติ
ศูนย์การแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
แผนกสุขภาพสตรี
สถานที่
อาคาร A ชั้น 2
เวลาทำการ
จันทร์ - อาทิตย์ 08.00 -20.00
เบอร์ติดต่อ
02 080 5999 ต่อ 4204