ความดันโลหิตสูงสาเหตุของโรคไตเรื้อรัง

สาเหตุของโรคไตเรื้อรัง
ความดันโลหิตสูงเป็นได้ทั้งสาเหตุและเป็นผลของโรคไตเรื้อรัง
ความดันโลหิต คืออะไร
ความดันโลหิต หมายถึง แรงดันของเลือดภายในเส้นเลือดที่เกิดจากหัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายปกติหัวใจจะต้องบีบเลือดด้วยแรงดันที่มากพอที่จะส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย และเส้นเลือดต้องแข็งแรงพอที่จะทนแรงดันดังกล่าวได้
การตรวจวัดความดันโลหิตที่ถูกต้อง
การวัดความดันโลหิตวิธีมาตรฐาน ทำได้โดยหมอและพยาบาล โดยทั่วไปจะวัดที่ต้นแขน และท่านจะต้องนั่งพักก่อนการวัดนานประมาณ 5-10 นาที ( การออกแรงแม้กระทั่งเดินจะทำให้ค่าความดันโลหิตสูงกว่าปกติ ) รวมทั้งงดสูบบุหรี่ ดื่มสุรา น้ำชา กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน(caffeine) ก่อนการวัด เพราะสิ่งเหล่านี้มีผลทำให้ความดันโลหิตเปลี่ยนแปลงถ้าท่านใช้ยาใดๆ อยู่ก็ควรแจ้งให้หมอหรือพยาบาลทราบก่อนเสมอ
หมอและพยาบาลจะใช้เครื่องวัดความดันโลหิตพันรอบต้นแขน ใช้หูฟังตรวจที่ข้อพับข้างเดี่ยวกันบีบและปล่อยลมจากลูกยางช้า ๆ จนได้ค่าความดันโลหิตที่ถูกต้อง ในปัจจุบันมีเครื่องวัดความดันโลหิตชนิดอัตโนมัติ (ดิจิตัล) ซึ่งทำให้ผู้ป่วยสามารถวัดความดันโลหิตได้ด้วยตนเอง แต่จะต้องได้รับการตรวจยืนยันจากหมอ และพยาบาลก่อนจะระบุว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือไม่
รู้ได้อย่างไรว่ามีความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตที่วัดได้นั้นมี 2 ค่า ค่าบน เรียกว่า “แรงดันซิสโตลิค ( systolic blood pressure )” เป็นค่าความดันขณะหัวใจบีบตัว ส่วน ค่าล่าง เรียกว่า “ แรงดันไดแอสโตลิค ( diastolic blood pressure )” เป็นค่าความดันโลหิตขณะหัวใจคลายตัว ค่าปกติอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 120 / 80 มิลลิเมตรปรอท (มม.ปรอท) ลงไป ถ้าค่าความดันโลหิตที่วัดได้มีค่าสูงตั้งแต่ 140 / 90 ขึ้นไป ถือว่าผู้ป่วยมี “ ความดันโลหิตสูง ” ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ไม่มีอาการ ถ้า สงสัยหรือไม่แน่ใจว่าจะมีความดันโลหิตสูงหรือไม่ ก็ควรไปตรวจวัดความดันโบหิต สำหรับคนปกติควรจะวัดความดันโลหิตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
ผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตตัวบนอยู่ระหว่าง 120 – 139 หรือความดันโลหิตตัวล่างอยู่ระหว่าง 80 – 89 จัดอยู่ใน “กลุ่มเสี่ยง” ที่มีความดันโลหิตใกล้สูง ควรปรับเปลี่ยนวิธีชีวิต การกินอาหารเพื่อป้องกันภาวะความดันโลหิตสูงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะมีโรคหัวใจและเส้นเลือดแทรกซ้อนตามมา
สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงอาจเกิดจากหลายสาเหตุ
- ไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงส่วนใหญ่ตรวจไม่พบสาเหตุ ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยความดันโลหิตสูงที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปมักจะตรวจไม่พบสาเหตุ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีประวัติคึวามดันโลหิตสูงในครอบครัว อ้วน ใขมันในเลือดสูง มีกรดยูริคในเลือดสูง อาจจะมีโรคเบาหวานหรือเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน
- โรคไต ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตบางชนิด ไตเสื่อมหรือไตวายทั้งในระยะแรกและระยะสุดท้าย ๆ ไตไม่สามารถขับน้ำและเกลือแร่ออกจากร่างกายได้น้ำและ เกลือแร่สะสมมากผิดปกติทำให้ความดันโลหิตสูงได้
- โรคต่อมไร้ท่อ เช่น โรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ เนื้องอกต่อมหมวกตางชนิด เป็นต้น
- โรคหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องอกตีบ ทำให้มีแรงดันเลือดที่แขนข้างหนึ่งหรือสองข้างสูงกว่าขา
- อื่นๆ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็งตัวมากเกินไปจากการที่มีไขมันมาพอก โรคระบบประสาทบางชนิด เป็นต้น
เมื่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไปหาหมอ หมอจะต้องซักประวัติและตรวจร่างกายผู้ป่วยโดยละเอียด ร่วมกับการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่สำคัญบางอย่าง เพื่อหาสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง ถ้าหากผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 40 ปี และตรวจไม่พบสาเหตุที่ชัดเจน แพทย์ก็จะระบุว่าผู้ป่วยเป็นความดันโลหิตสูงแบบไม่ทราบสาเหตุ ส่วนผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปีลงไป แพทย์จะต้องพยายามหาสาเหตุมากขึ้น การรักษาโรคดังกล่าวมักจะทำให้โรคความดันโลหิตสูงหายไปด้วยอย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ของผู้ป่วยก็มักจะตรวจไม่พบสาเหตุอยู่ดี
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง
การรักษาความดันโลหิตสูงแบ่งออกเป็น 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ
- การปรับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการกินยา ซึ่งได้แก่
- การงดกินอาหารเค็ม ๆ ให้พยายามกินจืด ๆ หรือไม่เติมเกลือ ซีอิ๊ว น้ำปลา ในอาหารที่ปรุงแล้ว ( กินเกลือแกงไม่เกิน 5 กรัมต่อวัน ) คนปกติที่กินเค็มเป็นประจำจะเพิ่มโอกาสเป็นโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่กินเค็มจะควบคุมความดันโลหิตได้ยาก ต้องกินยามากกว่าปกติ หรือคุมความดันโลหิตให้ปกติไม่ได้
- การจำกัดอาหารหวาน อาหารมัน
- การลดความอ้วน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การลดความเครียด
- การกินยา
- ยาลดความดันโลหิตมีหลายชนิด หมอจะต้องเป็นผู้สั่งใช้ยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนยาทุกขนานมีผลข้างเคียงจึงต้องอยู่ในความดูแลของหมออย่างใกล้ชิดห้ามซื้อยากินเอง
- จะต้องกินยาให้สม่ำเสมอและกินตามหมอสั่งเท่านั้น
- จะต้องไปหาหมอตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจวัดความดันโลหิตว่าควบคุมได้ดีแล้วหรือยัง ตรวจหาโรคแทรกซ้อนเพื่อจะไดรักษาหรือป้องกันแต่เนิ่น ๆ สอบถามผลข้างเคียงของยาและปรับยาให้เหมาะสมกับโรค
ความดันโลหิตสูงทำให้ไตเสื่อม
ความดันโลหิตสูงทำให้หัวใจทำงานหนัก และในระยะยาวทำให้เส้นเลือดเสื่อมทั่วร่างกาย ได้แก่ โรคเส้นเลือดหัวใจ เส้นเลือดสมองและเส้นเลือดที่ไตเสื่อม ทำให้มีโปรตีนในเลือดรั่วออกมาในปัสสาวะ ซึ่งตรวจพบได้โดยการตรวจปัสสาวะ ส่วนการเปลี่ยนแปลงของไตในระยะท้ายจะทำให้ไตเสื่อมลง ไตขับเกลือแร่และของเสียลดลง สารเกลือแร่ที่คั่งจะยิ่งทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นไปอีกและทำลายไตมากขึ้นเป็นวัฎจักร
มีวิธีการป้องกันไตเสื่อมจากความดันโลหิตสูงได้อย่างไร
คนที่มีโรคไตเรื้อรังควรได้รับการควบคุมความดันโบหิตให้ต่ำกว่า 130 /80 มม.ปรอท สำหรับคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อไตวายได้แก่มีโปรตีนในปัสสาวะมากกว่า 1 กรัมต่อวัน ควรควบคุมความดันโลหิตให้ต่ำกว่า 125 / 75 มม.ปรอท ร่วมกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
มียาลดความดันโลหิตชนิดไหนที่จะชะลอการเสื่อมของไต
ยาลดความดันโลหิตที่มีผลมากในการชะลอการเสื่อมของไตได้แก่ ยากลุ่ม “เอซีอีไอ” (CE-I ย่อมาจาก angiotensin converting enzyme inhibitors ) และยากลุ่ม “เออาร์บี” ( ARB ย่อมาจาก angiotensin receptor blocker ) ยาทั้งสองมีผลลดความดันโลหิต ลดการรั่วของโปรตีนทางปัสสาวะและชะลอการเสื่อมของไตในผู้ป่วยเบาหวาน และโรคไตชนิดอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางก่อนได้รับยา
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรักษาได้ที่ Call Center 02-080-5999 หรือ LINE : @psuv
ศูนย์ไตเทียม ให้บริการอย่างครบวงจรเกี่ยวกับโรคไต ด้วยทีมแพทย์และพยาบาลที่ชำนาญเฉพาะทาง เพื่อให้การดูแลสำหรับผู้ป่วยโรคไตทั้งแบบเรื้อรังและเฉียบพลัน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบาย สะอาด และปลอดภัยสำหรับผู้ป่วย
วัน/ เวลาทำการ : จันทร์ – เสาร์ (หยุดวันอาทิตย์)
เวลาทำการ 07.00 – 21.00น.
ทั้งหมด 3 รอบ
รอบที่ 1 เวลา 07.00 – 11.00น.
รอบที่ 2 เวลา 12.00 – 16.00น.
รอบที่ 3 เวลา 17.00 – 21.00น.
ศูนย์การแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
แผนกไตเทียม
สถานที่
อาคาร B ชั้น 2
เวลาทำการ
จันทร์ - ศุกร์ เวลา 06.00-11.00 / 11.00-16.00 / 16.00-21.00
เบอร์ติดต่อ
02 080 5999 ต่อ 1702